“เดอะโจ๊ก” ส่งมอบตำแหน่ง ผบช.สตม. ให้ “บิ๊กโจ๊ก” พร้อมประกาศนโยบายเข้มงวดคัดกรองชาวต่างชาติและปราบปรามขบวนการทุจริตวีซ่า

ในวันที่ 1 ตุลาคม 2566 ได้มีพิธีส่งมอบตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) อย่างเป็นทางการ โดย พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น หรือ “เดอะโจ๊ก” รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ได้ส่งมอบตำแหน่งให้แก่ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ “บิ๊กโจ๊ก” ซึ่งจะรับหน้าที่รักษาราชการแทน ผบช.สตม. คนใหม่

หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการรับมอบตำแหน่ง ทั้งสองนายตำรวจได้เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัด สตม. จำนวนมากร่วมมอบดอกไม้เพื่ออำลาและต้อนรับผู้บังคับบัญชาทั้งสองท่าน บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเป็นกันเอง

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ได้กล่าวถึงนโยบายการทำงานในตำแหน่งใหม่ว่า จะให้ความสำคัญกับการคัดกรองชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้าประเทศไทยอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความมั่นคงของประเทศ นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในกระบวนการคัดกรอง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

ทิศทางการพัฒนา สตม. ในยุคดิจิทัล

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ยังเน้นย้ำว่าจะสานต่อนโยบายของผู้บังคับบัญชาคนก่อน โดยจะปฏิบัติงานภายใต้กรอบนโยบายของรัฐบาล 4.0 พร้อมทั้งเปิดเผยแผนการเพิ่มกำลังพลอีกกว่า 1,000 อัตรา เพื่อรองรับการให้บริการที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในส่วนของการปราบปรามการทุจริต พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับขบวนการเรียกเก็บเงินค่าส่วนต่างจากกลุ่มทัวร์ต่างๆ นอกเหนือจากค่าธรรมเนียมที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยมองว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของประเทศ

นอกจากนี้ ยังมีแผนติดตั้งป้าย “No Tip” ตามจุดให้บริการต่างๆ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวทราบว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไม่มีนโยบายเรียกเก็บเงินเพิ่มเติมนอกเหนือจากค่าธรรมเนียมที่กำหนดไว้

ท้ายที่สุด พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ยังเน้นย้ำว่าจะเริ่มปฏิบัติการกวาดล้างอย่างจริงจังภายในสัปดาห์นี้ โดยหากพบการกระทำความผิด จะดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด รวมถึงการใช้มาตรการทางกฎหมายฟอกเงินเพื่อยึดทรัพย์ผู้กระทำความผิดด้วย

การแถลงนโยบายของ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาและยกระดับการทำงานของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พร้อมทั้งการแก้ไขปัญหาการทุจริตที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง ซึ่งหากสามารถดำเนินการได้ตามแผนที่วางไว้ ก็จะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตานักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติอย่างแน่นอน