นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เปิดเผยถึงแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในจังหวัดภูเก็ตและพื้นที่ใกล้เคียง หลังจากการประชุมเตรียมการและรวบรวมข้อมูลระบบคมนาคมขนส่งในพื้นที่ โดยมุ่งเน้นการยกระดับศักยภาพของภูเก็ตในฐานะเมืองท่องเที่ยวระดับโลกและศูนย์กลางการท่องเที่ยวของภูมิภาค
แผนการพัฒนาที่สำคัญประการแรกคือการขยายขีดความสามารถของท่าอากาศยานภูเก็ต จากเดิมที่รองรับผู้โดยสารได้ 12.5 ล้านคนต่อปี เป็น 18 ล้านคนต่อปี โดยให้ความสำคัญกับมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล และการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ เพื่อสร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือน
นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมยังมีแผนพัฒนาโครงข่ายทางหลวงในจังหวัดภูเก็ตอย่างครอบคลุม ประกอบด้วย:
1. การพัฒนาทางเลี่ยงเมืองภูเก็ตให้เป็น 4 ช่องจราจร ระยะทาง 4.55 กิโลเมตร
2. การสร้างถนนแนวใหม่ 4 ช่องจราจร เชื่อมต่อกับท่าอากาศยานภูเก็ต ระยะทาง 1.95 กิโลเมตร
3. การก่อสร้างทางแยกต่างระดับบริเวณอนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี – ท้าวศรีสุนทร
4. การศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาทางหลวงแนวใหม่ สายบ้านป่าคลอก – บ้านบางคู
ที่น่าสนใจคือ แผนการพัฒนาโครงข่ายทางพิเศษในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งแบ่งเป็น 2 ระยะ:
ระยะที่ 1: ช่วงกะทู้ – ป่าตอง ระยะทาง 3.98 กิโลเมตร คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2567 และเปิดให้บริการในปี 2571
ระยะที่ 2: ช่วงเมืองใหม่ – เกาะแก้ว – กะทู้ ระยะทาง 30.62 กิโลเมตร คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2570 และเปิดให้บริการในปี 2573
เมื่อโครงการแล้วเสร็จ จะช่วยลดเวลาในการเดินทางภายในเมืองจากเดิม 1.30 – 2 ชั่วโมง เหลือเพียง 20 นาที ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการจราจรติดขัดและรองรับปริมาณการเดินทางที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การพัฒนาระบบขนส่งทางราง:
กระทรวงคมนาคมยังมีแผนพัฒนาระบบขนส่งทางรางที่ครอบคลุม ได้แก่:
1. โครงการรถไฟทางไกลระหว่างเมือง สายท่าอากาศยานภูเก็ต – ท่าอากาศยานกระบี่ ระยะทาง 149 กิโลเมตร
2. เส้นทางสุราษฎร์ธานี – ท่านุ่น ระยะทาง 163 กิโลเมตร เชื่อมโยงภูเก็ตกับโครงข่ายรถไฟทั่วประเทศ
3. ระบบขนส่งมวลชนภายในเมืองภูเก็ต จากสถานีรถไฟท่านุ่น – ท่าอากาศยานภูเก็ต – ห้าแยกฉลอง รวมระยะทาง 58.5 กิโลเมตร
นายสุริยะกล่าวทิ้งท้ายว่า กระทรวงคมนาคมมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการด้านคมนาคมอย่างต่อเนื่อง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจให้กับจังหวัดภูเก็ตแล้ว ยังจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ และสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศอย่างต่อเนื่อง
