หญิงสาวคลอดลูกริมถนนหลังแท็กซี่ปฏิเสธรับผู้โดยสาร เผยประวัติสะเทือนใจ

ในคืนวันที่ 21 กรกฎาคม 2567 เวลาประมาณ 23.30 น. เหตุการณ์สะเทือนใจได้เกิดขึ้นที่บริเวณสะพานหัวเกาะ ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อหญิงสาวท้องแก่คนหนึ่งต้องคลอดลูกริมถนนหลังจากไม่สามารถหาแท็กซี่ไปโรงพยาบาลได้ทัน

ศูนย์วิทยุกู้ชีพปราการได้รับแจ้งเหตุและรีบส่งเจ้าหน้าที่กู้ชีพจากโรงพยาบาลสมุทรปราการ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกุศลสมุทรปราการไปยังจุดเกิดเหตุ เมื่อไปถึงพบว่าหญิงสาวชื่อนางสาวเปเป้ อายุ 30 ปี ชาวกะเหรี่ยง กำลังนอนอยู่บนทางเท้าพร้อมกับทารกเพศชายที่เพิ่งคลอดออกมา โดยสายสะดือยังไม่ได้ตัด เจ้าหน้าที่จึงรีบให้การช่วยเหลือด้วยการตัดสายสะดือและนำทั้งแม่และเด็กส่งโรงพยาบาลสมุทรปราการทันที

ประวัติอันน่าสะเทือนใจของแม่วัยกลาง

จากการสอบถามนายสมชาย อายุ 60 ปี พ่อของนางสาวเปเป้ ทำให้ทราบว่าลูกชายคนนี้เป็นลูกคนที่ 5 ของเธอ นายสมชายเล่าว่าลูกสาวของเขามีอาการทางจิตไม่ค่อยปกติ ทำให้มักตกเป็นเหยื่อของคนไม่ดีที่หลอกลวงเธอไปในทางที่ผิด เขาไม่ทราบว่าใครเป็นพ่อของเด็กคนนี้ แต่ต้องรับภาระเลี้ยงดูหลานทั้ง 4 คนก่อนหน้านี้อยู่แล้ว

นายสมชายเล่าต่อว่า ในอดีตนางสาวเปเป้เคยมีชีวิตที่ปกติ มีครอบครัวและทำงานในตลาดปากน้ำ แต่หลังจากสามีคนแรกเสียชีวิต เธอก็เริ่มมีอาการป่วยทางจิต และตกเป็นเหยื่อของผู้ชายหลายคนที่ล่วงละเมิดทางเพศจนตั้งครรภ์หลายครั้ง โดยไม่มีใครรับผิดชอบ นายสมชายกล่าวว่าหลังจากนี้เขาจะปรึกษาแพทย์เพื่อขอทำหมันให้ลูกสาว เนื่องจากไม่สามารถรับภาระเลี้ยงดูหลานเพิ่มได้อีกแล้ว

เหตุการณ์ก่อนการคลอดริมถนน

นายสามารถ อายุ 56 ปี ผู้ที่นางสาวเปเป้วิ่งมาขอความช่วยเหลือ เล่าถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ว่า เธอวิ่งมาหาเขาด้วยอาการปวดท้องอย่างหนัก บอกว่าพยายามเรียกแท็กซี่แล้วแต่ไม่มีคันไหนยอมจอดรับ นายสามารถจึงตัดสินใจจะขับรถพาเธอไปโรงพยาบาล แต่เมื่อถอยรถออกมาก็พบว่านางสาวเปเป้เริ่มคลอดลูกแล้ว เขาจึงทำได้เพียงโทรแจ้ง 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือ

บทเรียนจากเหตุการณ์นี้

เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาสังคมหลายประการ ทั้งการขาดการดูแลผู้ป่วยทางจิต การล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้ที่อ่อนแอกว่า และการขาดความรับผิดชอบของผู้ชายที่ทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์ นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของระบบขนส่งสาธารณะที่พร้อมให้บริการในยามฉุกเฉิน และความจำเป็นในการสร้างความตระหนักรู้ในสังคมเกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้ที่กำลังประสบปัญหาในที่สาธารณะ

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาหามาตรการช่วยเหลือครอบครัวนี้อย่างเร่งด่วน ทั้งในด้านการรักษาพยาบาล การให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต และการสนับสนุนทางสังคมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำอีกในอนาคต