เหตุการณ์สะเทือนใจเกิดขึ้นที่ศูนย์ดูแลเด็กแห่งหนึ่งในมณฑลหูหนาน ประเทศจีน เมื่อเด็กหญิงวัย 7 ขวบต้องสูญเสียชีวิตจากการสำลักอาหาร ท่ามกลางความโศกเศร้าและความโกรธแค้นของครอบครัว หลักฐานจากกล้องวงจรปิดเผยให้เห็นถึงความเพิกเฉยของครูผู้ดูแล ซึ่งไม่ได้ให้ความสนใจต่อสัญญาณขอความช่วยเหลือของเด็ก
จากภาพที่บันทึกได้ เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อครูสาวมอบขนมปังชิ้นใหญ่ให้แก่เด็กหญิง หลังจากรับประทานไปไม่นาน เด็กเริ่มมีอาการสำลัก และพยายามช่วยเหลือตัวเองด้วยการล้วงเอาขนมปังออกมา แต่ไม่สำเร็จ ด้วยความหวาดกลัว เธอลุกขึ้นและเดินไปหาครูเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่น่าเศร้าที่ครูกลับไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ
สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อเด็กหญิงล้มลงกับพื้น ครูเพียงแค่ช่วยพยุงเธอขึ้นและส่งสัญญาณให้ไปดื่มน้ำ แม้ว่าใบหน้าของเด็กจะเริ่มแดงก่ำ แต่ครูก็ยังคงไม่ตระหนักถึงอันตรายที่กำลังคุกคามชีวิตของนักเรียน ภาพจากกล้องวงจรปิดยังแสดงให้เห็นว่าครูยังคงใช้โทรศัพท์มือถือและเดินออกไปจากจุดที่เกิดเหตุ
ความรับผิดชอบและการป้องกัน: บทเรียนสำคัญจากโศกนาฏกรรมครั้งนี้
เหตุการณ์อันน่าเศร้านี้ได้จุดประเด็นคำถามเกี่ยวกับความรับผิดชอบและการดูแลเด็กในสถานศึกษา ครอบครัวของเด็กหญิงยืนยันว่าได้แจ้งให้ทางโรงเรียนทราบถึงประวัติการสำลักของลูกสาวแล้ว และได้เน้นย้ำกับครูหลายครั้งถึงความเสี่ยงนี้ พวกเขายังเปิดเผยว่าลูกสาวเคยต้องเข้ารับการรักษาในห้องฉุกเฉินด้วยอาการสำลักมาก่อน
อย่างไรก็ตาม ทางศูนย์ดูแลเด็กกลับมีมุมมองที่แตกต่างออกไป หัวหน้าศูนย์ฯ กล่าวหาว่าครอบครัวได้ “ซ่อนอาการป่วยของเด็กหญิงไว้” และชี้แจงว่าทางศูนย์ยังคงแจกขนมปังให้เด็กๆ ทุกวันตามปกติ รวมถึงระบุว่าผู้ปกครองเองก็มักจะนำเกี๊ยวหรือขนมปังมาให้เด็กรับประทานทุกเช้า
ความขัดแย้งระหว่างครอบครัวของผู้เสียชีวิตและทางศูนย์ดูแลเด็กยังคงดำเนินต่อไป โดยครอบครัวเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเป็นจำนวนหลายล้านหยวน ซึ่งทางศูนย์ฯ อ้างว่าเกินความสามารถในการจ่ายของพวกเขา
ในวันที่ 24 มิถุนายน ตัวแทนของศูนย์ฯ ได้ออกมาแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งยืนยันว่ากำลังประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อเจรจากับครอบครัวของผู้เสียชีวิต และให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการสอบสวนคดีอย่างเต็มที่
เหตุการณ์อันน่าสลดใจครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจถึงความสำคัญของการเอาใจใส่ดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในสถานศึกษาและศูนย์ดูแลเด็ก รวมถึงความจำเป็นในการฝึกอบรมบุคลากรให้มีความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อป้องกันไม่ให้โศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต