ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2567 เกิดเหตุการณ์สลดใจบนท้องถนนในกรุงเทพมหานคร เมื่อรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า บริโอ สีขาว ก่อเหตุชนท้ายรถคันอื่นแล้วพยายามหลบหนี นำไปสู่เหตุการณ์อันน่าตกใจเมื่อคู่กรณีถูกลากไปกับรถเป็นระยะทางกว่า 30 เมตร
เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อเวลาประมาณ 09:30 น. บริเวณหน้าโรงพยาบาลราชวิถี เมื่อรถบริโอสีขาวชนท้ายรถของ น.ส.เปิ้ล อายุ 56 ปี ผู้เสียหาย น.ส.เปิ้ลพยายามเรียกให้คู่กรณีจอดรถเพื่อเจรจา แต่ผู้ขับขี่รถบริโอกลับไม่ยอมหยุดรถ ทำให้ น.ส.เปิ้ลต้องขับรถไล่ตามไปจนถึงแยกไฟแดงแห่งหนึ่ง
ณ จุดนั้น น.ส.เปิ้ลได้ลงจากรถและยืนขวางหน้ารถบริโอ พร้อมเรียกให้คนช่วย แต่ผู้ขับขี่รถบริโอกลับเร่งเครื่องชนตัว น.ส.เปิ้ล ทำให้เธอต้องเกาะหน้ารถไว้ ก่อนที่รถจะพุ่งออกไปพร้อมลาก น.ส.เปิ้ลไปด้วยเป็นระยะทางกว่า 30 เมตร ถึงสองครั้ง โดยฝ่าไฟแดงไปสองแยก
ผลกระทบต่อความปลอดภัยบนท้องถนน
เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาด้านความปลอดภัยบนท้องถนนที่ยังคงเป็นประเด็นสำคัญในสังคมไทย การที่ผู้ขับขี่เลือกที่จะหลบหนีหลังก่อเหตุ แทนที่จะรับผิดชอบต่อการกระทำของตน ไม่เพียงแต่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องการบังคับใช้กฎหมายและการตรวจสอบยานพาหนะ เนื่องจากรถคันที่ก่อเหตุไม่ได้ต่อทะเบียนมาเป็นเวลา 3 ปี และมีปัญหาเรื่องการหนีไฟแนนซ์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงช่องโหว่ในระบบการควบคุมและตรวจสอบรถยนต์ที่วิ่งบนท้องถนน
ความคืบหน้าของคดี
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เร่งดำเนินการสืบสวนโดยตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดตามเส้นทางที่รถหลบหนี พร้อมทั้งพยายามติดต่อเจ้าของรถตามทะเบียน ซึ่งเป็นชายคนหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี แต่ไม่สามารถติดต่อได้ ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเจ้าของรถและผู้ก่อเหตุซึ่งเป็นหญิงสาวอายุประมาณ 30 ปี
ทางด้านผู้เสียหาย น.ส.เปิ้ล ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยที่เข่าและซี่โครง และได้แจ้งความดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุแล้ว โดยยืนยันว่าจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต
เจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมแจ้งข้อกล่าวหาเบื้องต้นกับผู้ก่อเหตุในข้อหาขับรถโดยประมาท เฉี่ยวชนและหลบหนี รวมถึงทำร้ายร่างกาย ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้ออกหมายเรียกครั้งที่ 1 แล้ว และจะดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป
เหตุการณ์นี้เป็นอุทาหรณ์สำคัญที่ตอกย้ำถึงความสำคัญของความรับผิดชอบและจิตสำนึกในการใช้รถใช้ถนน รวมถึงความจำเป็นในการเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายจราจรเพื่อความปลอดภัยของทุกคนบนท้องถนน