ตำรวจลำบากใจจับกุม “ลุงขโมยลูกชิ้น” หลังพบครอบครัวยากไร้ แต่จำต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย

(10 กรกฎาคม 2567) เหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจให้กับสังคมไทยเกิดขึ้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อตำรวจจำเป็นต้องจับกุมชายวัย 50 ปี ที่ขโมยลูกชิ้นจากหน้าร้านเพื่อนำไปเป็นอาหารให้ครอบครัวที่ยากจน ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความเหมาะสมของการบังคับใช้กฎหมายในสถานการณ์เช่นนี้

เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2567 เวลาประมาณ 21.00 น. เมื่อเจ้าของบริษัทผลิตลูกชิ้นยืนกินแห่งหนึ่งในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ พบว่ามีคนขโมยลูกชิ้นที่วางไว้หน้าร้านจำนวน 1 ถุง จากทั้งหมด 2 ถุง มูลค่าประมาณ 300 บาท จึงได้นำภาพจากกล้องวงจรปิดไปแจ้งความต่อ ร.ต.อ.สุพจน์ ตึกกระโทก รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.เมืองบุรีรัมย์

หลังจากการสืบสวน ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ คือนายบุญเที่ยง อายุ 50 ปี ซึ่งรับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุจริง โดยให้เหตุผลว่าเห็นลูกชิ้นวางอยู่หน้าร้านโดยไม่มีคนเฝ้า และร้านปิดแล้ว จึงตัดสินใจหยิบเอาไป เนื่องจากไม่มีเงินพอที่จะซื้ออาหารให้ครอบครัว

ความยากลำบากของครอบครัวผู้ต้องหา

จากการสืบสวนเพิ่มเติม พบว่าครอบครัวของนายบุญเที่ยงอาศัยอยู่ในสภาพที่ยากจน ที่บ้านโนนแดง หมู่ 5 ต.หนองกระทิง อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ เป็นบ้านปูนชั้นเดียวที่ยังสร้างไม่เสร็จ โดยมีสมาชิกในครอบครัว 3 คน ประกอบด้วย:

  1. นายทอง อายุ 88 ปี พ่อของนายบุญเที่ยง 
  2. นางอุย อายุ 89 ปี แม่ของนายบุญเที่ยง ซึ่งป่วยเป็นโรคไตและต้องนอนติดเตียง
  3. นางพิมพ์พร อายุ 59 ปี พี่สาวของนายบุญเที่ยง

ทั้งพ่อและแม่ของนายบุญเที่ยงต่างไม่ทราบว่าลูกชายได้ขโมยลูกชิ้นมาให้พวกเขารับประทาน จนกระทั่งมีคนมาแจ้งว่านายบุญเที่ยงถูกจับกุม นายทองยังคงนั่งรอลูกชายที่หน้าบ้านด้วยความหวังว่าจะนำอาหารมาให้เหมือนเช่นทุกครั้ง

ร.ต.อ.สุพจน์ ตึกกระโทก พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี กล่าวว่า “จากการสอบสวนและสืบสวน พบว่าครอบครัวมีฐานะยากจนจริง ส่วนตัวมองว่านายบุญเที่ยงไม่มีเจตนาที่จะขโมย สังเกตได้จากการที่เขาเอาลูกชิ้นไปเพียงถุงเดียว ทั้งที่มีวางอยู่สองถุง ซึ่งผิดวิสัยของขโมยทั่วไปที่มักจะเอาไปให้ได้มากที่สุด”

แม้จะเป็นคดีที่น่าเห็นใจ แต่กระบวนการยุติธรรมต้องดำเนินต่อไป โดยล่าสุด ร.ต.อ.สุพจน์ได้ส่งสำนวนไปยังอัยการจังหวัดบุรีรัมย์แล้ว เนื่องจากจะครบกำหนดฝากขัง 48 วัน

เหตุการณ์นี้ได้สร้างความสะเทือนใจให้กับผู้คนจำนวนมาก และทำให้เกิดการถกเถียงในสังคมเกี่ยวกับความเหมาะสมของการบังคับใช้กฎหมายในกรณีที่เกี่ยวข้องกับความยากจนและความอดอยาก ทั้งนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่าคดีนี้จะดำเนินไปในทิศทางใด แต่หลายฝ่ายหวังว่าจะมีการพิจารณาถึงสภาพแวดล้อมและความจำเป็นของผู้ต้องหาประกอบการตัดสินคดีด้วย