*นักวิทยาศาสตร์เปิดเผยความลับสุดท้ายของช้างแมมมอธ: การวิจัยพันธุกรรมระดับจีโนมเผยปริศนาการสูญพันธุ์

ในโลกของการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ การไขปริศนาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปแล้วเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและท้าทายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องของช้างแมมมอธ สัตว์ยุคโบราณที่ครั้งหนึ่งเคยเดินท่องไปทั่วทุนดราอันกว้างใหญ่ การศึกษาล่าสุดได้เปิดเผยว่า ช้างแมมมอธตัวสุดท้ายบนโลกนี้มีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อน บนเกาะแรงเกล (Wrangel) ในมหาสมุทรอาร์กติก แต่คำถามที่ยังคงค้างคาใจนักวิทยาศาสตร์มาโดยตลอดคือ อะไรคือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ช้างยักษ์ขนยาวเหล่านี้ต้องสูญพันธุ์ไปจากโลกใบนี้

เพื่อไขปริศนานี้ นักวิจัยได้ทุ่มเทเวลาและทรัพยากรมากมายในการศึกษาพันธุกรรมระดับจีโนมของช้างแมมมอธ ผลการวิจัยอันน่าตื่นเต้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ชั้นนำอย่าง Cell เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยนำเสนอรายละเอียดที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของช้างแมมมอธ ตั้งแต่การผสมพันธุ์ การกลายพันธุ์ที่ส่งผลกระทบต่อประชากร ไปจนถึงภาวะความหลากหลายทางพันธุกรรมในระดับต่ำ ซึ่งฝูงช้างแมมมอธสุดท้ายที่อาศัยอยู่บนเกาะอันโดดเดี่ยวเป็นเวลานานถึง 6,000 ปีต้องเผชิญ

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: ปัจจัยสำคัญในการสูญพันธุ์ของช้างแมมมอธ

การศึกษาได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อประชากรช้างแมมมอธ เมื่อยุคน้ำแข็งเริ่มสิ้นสุดลง ทุ่งน้ำแข็งซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยหลักของช้างแมมมอธได้ค่อยๆ หดตัวจากภูมิภาคทางใต้ไปสู่ทางเหนือของโลก พร้อมกับการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก สภาพแวดล้อมได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นป่าร้อนชื้น ซึ่งไม่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของช้างแมมมอธ ส่งผลให้พวกมันต้องอพยพขึ้นไปอาศัยอยู่ในแถบเหนือสุดของยุโรปเท่านั้น

 

การวิจัยนี้ดำเนินการโดยทีมนักวิทยาศาสตร์นำโดย มารีแอนน์ เดฮาสก์ จากมหาวิทยาลัยอัพพ์ซาลา ในสวีเดน โดยได้ทำการตรวจสอบข้อมูลจีโนมจากซากช้างแมมมอธจำนวนมาก ทั้งจากเกาะแรงเกลและแผ่นดินใหญ่ของไซบีเรีย ซึ่งมีอายุย้อนหลังไปถึง 50,000 ปีก่อน ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า ประชากรช้างแมมมอธบนเกาะแรงเกลเริ่มต้นจากจำนวนเพียงไม่กี่ตัว ก่อนจะขยายเป็น 200-300 ตัวในช่วงเวลา 600 ปี และคงอยู่ในระดับนั้นจนกระทั่งสูญพันธุ์ไป

นอกจากนี้ การศึกษายังพบว่า ความหลากหลายทางพันธุกรรมที่สำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันของช้างแมมมอธบนเกาะแรงเกลนั้นลดลง ในขณะที่อัตราการกลายพันธุ์ที่เป็นอันตรายต่อตัวช้างก็ค่อยๆ ลดลงตามกาลเวลา ซึ่งเชื่อว่าเป็นผลมาจากการที่ช้างแมมมอธที่มีปัญหาทางพันธุกรรมมีอายุขัยสั้นและไม่ได้สืบพันธุ์มากนัก

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยไม่เชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้เป็นสาเหตุหลักของการสูญพันธุ์ของช้างแมมมอธ เลิฟ ดาเลน นักพันธุศาสตร์จากศูนย์ Center for Palaeogenetics ได้อธิบายว่า หากการผสมพันธุ์เลือดชิด ความหลากหลายทางพันธุกรรมต่ำ หรือการกลายพันธุ์ที่เป็นอันตรายเป็นสาเหตุหลัก ประชากรช้างควรจะค่อยๆ ลดลงพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของการผสมพันธุ์เลือดชิดและการสูญเสียความหลากหลายทางพันธุกรรม แต่ผลการวิจัยกลับไม่พบการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในระดับการผสมพันธุ์แบบเลือดชิดหรือความหลากหลายทางพันธุกรรมตลอดระยะเวลา 6,000 ปีที่ช้างแมมมอธอาศัยอยู่บนเกาะแรงเกล

ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ การศึกษานี้ไม่พบหลักฐานที่บ่งชี้ว่าการล่าโดยมนุษย์เป็นสาเหตุของการสูญพันธุ์ของช้างแมมมอธ ซึ่งขัดกับความเชื่อที่มีมาอย่างยาวนาน

ด้วยข้อมูลทั้งหมดนี้ มารีแอนน์ เดฮาสก์ ได้สรุปว่า สิ่งที่นักวิจัยค้นพบ “ชี้ให้เห็นถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันซึ่งนำไปสู่การสูญพันธุ์ของประชากรช้างแมมมอธ” แม้ว่าการศึกษานี้จะไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดได้ แต่ก็ได้เปิดประตูสู่การวิจัยเพิ่มเติมในอนาคต เพื่อไขปริศนาการสูญพันธุ์ของสัตว์ยุคโบราณที่น่าทึ่งเหล่านี้

การค้นพบนี้ไม่เพียงแต่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของช้างแมมมอธเท่านั้น แต่ยังมีนัยสำคัญต่อการทำความเข้าใจผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัจจัยอื่นๆ ต่อความอยู่รอดของสายพันธุ์ต่างๆ ในปัจจุบัน ซึ่งอาจช่วยในการอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตที่ใกล้สูญพันธุ์ในยุคปัจจุบันได้อีกด้วย